วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

‘สินเอเซีย-ทหารไทย’โล่งอกจีนถือหุ้นเกิน49%-ลดพาร์ได้

จัดทำโดย

นาย พงศ์ภีระ พรสิริธนพงษ์ 5001208072

เรื่อง ‘สินเอเซีย-ทหารไทย’โล่งอกจีนถือหุ้นเกิน49%-ลดพาร์ได้







ธปท.ไฟเขียวต่างชาติซื้อธนาคารสินเอเซีย-ทหารไทยขอลดพาร์
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือแจ้งถึงนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ว่า เห็นชอบให้ธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชนา (ICBC) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรายใหญ่สุดของจีน เข้าซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซียของไทยได้เกิน 49% ตามที่ผู้ถือหุ้นของธนาคารสินเอเซียทำเรื่องเสนอขอมา เพื่อความแข็งแกร่งของธนาคาร



หลังจากนี้ รมว.คลัง จะต้องเซ็นเห็นชอบตามที่ธปท. เสนอมา เพื่อให้กระบวนการซื้อหุ้นเดินหน้าต่อไป
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในการประชุม ผู้ถือหุ้นธนาคารสินเอเซียที่ผ่านมา กระทรวงการคลังซึ่งถือหุ้นธนาคารสินเอเซีย 30.61% ได้งดออกเสียงในการขายหุ้นธนาคารให้กับ ICBC เพราะกลัวว่าจะเป็นการชี้นำธปท. ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ ที่ถือหุ้นธนาคารสินเอเซีย 19.26% ก็ไม่ได้ออกเสียงเช่นเดียวกัน เพราะถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสีย จึงมีรายย่อยอีกประมาณ 50% ที่มีมติเห็นชอบทั้งหมดให้ขายหุ้นธนาคารสินเอเซียกับ ICBC และมีมติยื่นเรื่องขอ ให้ธปท. เห็นชอบให้ ICBC ถือหุ้นธนาคารสินเอเซียได้เกิน 49%
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และธนาคารกรุงเทพ จะขายหุ้นให้กับ ICBC ในราคาหุ้นละ 11.50 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ดีมากเมื่อเทียบค่ามูลค่าทางบัญชี หลังจากนี้ทาง ICBC จะต้องตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นทั้งหมด จากรายย่อยในราคาเดียวกับที่ซื้อจากกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงเทพ
สำหรับการขายหุ้นธนาคารทหารไทยของกระทรวงการคลังที่ถืออยู่ ล่าสุด นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย ได้เข้าหารือ กับกระทรวงการคลัง เรื่องการแปลงหุ้นบุริมสิทธิที่กระทรวงการคลังถืออยู่ และจะครบอายุแปลงเป็นหุ้นสามัญในเดือนพ.ค. 2553 นี้ โดยการแปลงไม่มีผลกระทบกับราคาหุ้นของธนาคารทหารไทย
ณ สิ้นปี 2552 ธนาคารทหารไทย มียอดขาดทุนสะสมอยู่ 1 แสนล้านบาท และมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นอยู่อีก 3 แสนล้านบาท รวมเป็น 4 แสนล้านบาท หากจะล้างขาดทุนสะสม และส่วนต่ำมูลค่าหุ้นนั้นจำเป็นที่จะต้องลดราคาพาร์จากเดิมหุ้นละ 10 บาท ลงเหลือแค่หุ้นละ 0.72 บาท จึงจะล้างขาดทุนสะสมและส่วนต่ำมูลค่าหุ้นได้หมด และสามารถจ่ายเงินปันผลได้

คำถาม

1. ICBC เป็นชื่อย่อของอะไร

2. เหตุที่กระทรวงการคลังงดออกเสียงในการขายหุ้นให้ ICBC เพราะเหตุใด

3. ธนาคารทหารไทย ต้องทำสิ่งใด จึงจะสามารถล้างยอดขาดทุนสะสมได้ (บรรทัดสุดท้าย)

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ผลเสรีการค้า ดูดเงินลงทุน ตั้งฐานในไทย

จัดทำบทความโดย

น.ส. จุฑามาศ รุ่งเลิศชัยกุล เลขทะเบียน 5001208066


เรื่อง ผลเสรีการค้า ดูดเงินลงทุน ตั้งฐานในไทย

โพสต์ทูเดย์ — กสิกรไทย ชี้ เปิดเสรีการค้าอาเซียนช่วยดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าการลดภาษีสินค้าปกติภายใต้กรอบอาเซียน (AFTA) เหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 สำหรับประเทศอาเซียน 6 ประเทศ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าภายในกลุ่มอาเซียน 6 ประเทศ ที่มีสัดส่วนกว่า 95% แทบจะไม่มีอุปสรรคด้านภาษี
ขณะเดียวกันการจัดทำความตกลงลดภาษีสินค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ช่วยสนับสนุนสินค้า ส่งออกของอาเซียนเข้าสู่ตลาดเหล่านี้ได้สะดวกขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่านักลงทุนจีนมี แนวโน้มจะเข้ามาลงทุนจัดตั้งฐานการผลิตในอาเซียนและไทยเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งวัตถุดิบและ ส่งออกสินค้าแปรรูปกลับไปจีน โดยได้ผลดีจากภาษีเหลือ 0% หรือส่งออกไปยังตลาดอาเซียนและประเทศคู่เจรจา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า การเปิดเสรีทั้งด้านสินค้า ภาคบริการ การลงทุนที่เสรีมากขึ้น จะทำให้นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาจัดตั้งฐานการผลิตเพื่อแสวงหาประโยชน์ สร้างโอกาสการขยายตลาดในอาเซียนที่ประกอบด้วยประชากร กว่า 580 ล้านคน

ขณะที่มูลค่าการลงทุนโดยตรงที่ซบเซาในกลุ่มอาเซียนก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น โดยในปี 2551 เงินลงทุนโดยตรงของอาเซียนจากประเทศอาเซียนด้วยกันเองที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 ได้ไหลเข้าอินโดนีเซียและเวียดนามค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างต่ำ

ที่มา : http://www.posttoday.com/finance.php?id=86495

คำถาม

1. การจัดทำความตกลงลดภาษีสินค้าระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา มีกี่ประเทศ อะไรบ้าง

2. นักลงทุนจากประเทศอะไร มีแนวโน้มจะเข้ามาลงทุนจัดตั้งฐานการผลิตในอาเซียนและไทย

3.ในปี 2551 เงินลงทุนโดยตรงของอาเซียนจากประเทศอาเซียนด้วยกันเองที่เพิ่มขึ้นในปี 2551 ได้ไหลเข้าประเทศอะไรค่อนข้างชัดเจน

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

คลังเดินหน้า 9 มาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 53

จัดทำบทความโดย

น.ส.อรพรรณ จันทร์หอม เลขทะเบียน 5001208052



เรื่อง คลังเดินหน้า 9 มาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 53



กรุงเทพฯ 18 ม.ค. - นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยและผู้บริหารกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงผลดำเนินงานปี 2553


นายกรณ์ กล่าวว่า มาตรการของกระทรวงการคลังเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

1.นโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หลังจากเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบจำนวน 965,377 คน มูลหนี้ 102,000 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 22 มกราคมนี้ จะเดินทางไปดูมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชนครั้งแรก และรัฐบาลจะสานต่อดูแลภาระหนี้ให้กับรายย่อย ด้วยการใช้ระบบไมโครไฟแนนซ์ดูแลประชาชน

2. การเดินหน้าตามแผนพัฒนาตลาดเงินระยะ 2 ด้วยการเพิ่มระดับการแข่งขันของสถาบันการเงินให้มีรายใหม่เข้ามาในระบบ การเพิ่มนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงการผลักดันให้มีต้นทุนบริการประชาชนต่ำลง

3.แผนพัฒนาตลาดทุน โดยกระทรวงการคลังพร้อมผลักดันและแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ เกี่ยวกับตลาดทุน การเชื่อมโยงกับตลาดโลก และรองรับความผันผวนต่าง ๆ เพื่อให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

4.การตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้รัฐบาลส่งเงินสมทบร่วมกับสมาชิก 100 บาทต่อเดือน ซึ่งมีแรงงานนอกระบบ พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย คนขับแท็กซี่ เกษตรกร กว่า 20 ล้านคน ต้องการหลักประกันเหมือนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) หรือกองทุนประกันสังคมของบริษัท เพื่อให้มีหลักประกันชีวิตหลังเกษียณอายุทำงาน โดยขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังตรวจร่างกฎหมาย

5.การเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนโครงการของรัฐ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 มีงบลงทุนเพียงร้อยละ 12.5 ของวงเงินรายจ่าย นับว่าเป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้น้อย จึงต้องใช้เงินลงทุนจาก พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเสรษฐกิจ ซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณมาร่วมกับภาคเอกชนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐให้มีเงินลงทุนในระบบประมาณร้อยละ 25 เพื่อมีกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตมากขึ้น

6.มาตรการสินเชื่อรายย่อย ด้วยการให้ธนาคารออมสินและ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ดูแลสินเชื่อรายย่อยให้มากขึ้น ในส่วนของ ธ.ก.ส.จะมีการตั้งธนาคารชุมชนเป็นหน่วยงานอิสระแยกจาก ธ.ก.ส.ในอนาคต เพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อและดูแลรายย่อยได้มากขึ้น

7.การดูแลบัตรเครดิต ด้วยการผลักดัน พ.ร.บ.บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล

8.การทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม ซึ่งเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเร็ว ๆ นี้ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ต้องเร่งแก้ไขให้กับประชาชนลืมตาอ้าปากได้ และ

9.การเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 1 เดือน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษี

"ยืนยันว่าจะสามารถผลักดันกฎหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไปได้ แม้ที่ผ่านมารัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายดังกล่าวอาจหลุดจากตำแหน่ง เนื่องจากมีการคัดค้านจากหลายฝ่าย ซึ่งปัจจุบันการจัดเก็บภาษีในสัดส่วนร้อยละ 90 มาจากรายได้ของประชาชนและภาคเอกชน ส่วนภาษีเพียงร้อยละ 10 มาจากทรัพย์สิน งควรเพิ่มสัดส่วนภาษีจากทรัพย์สินมากขึ้น" นายกรณ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2010-01-18 11:22:03


ที่มา:http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=301362&ch=ec1

คำถาม

1. มาตรการของกระทรวงการคลังมีกี่มาตรการ

2. ปัญหาหนี้นอกระบบจำนวน 965,377 คน มีมูลค่าหนี้เท่าไร

3. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 มีงบลงทุนร้อยละเท่าไร